x
หน้าเว็บ
หน่วยเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
กระทรวงมหาดไทย สายด่วนนิรภัย
โทร. 1784
โทร. 1784
กรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สายด่วนกรมอุคุนิยมวิทยา
โทร. 1182
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 0-2642-7132
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 0-2141-4444
กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สายด่วนชลประทาน
โทร. 1460
กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โทร. 0-2621-9600
กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ
โทร. 0-2735-4435
การป้องกันดินถล่มในระยะยาว
·
ไม่ตัดไม้ทำลายป่า
พร้อมปลูกต้นไม้บริเวณป่าต้นน้ำ เพื่อชะลอความแรงของกระแสน้ำ
· ปลูกพืชคลุมดิน หรือหญ้าแฝกบริเวณที่ลาดเชิงเขา เพื่อให้รากหญ้าแฝกช่วยยึดเกาะหน้าดินทำให้ดินไม่เลื่อนหรือไหลลงมา
·
สร้างฝายชะลอน้ำ
เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำหากเกิดน้ำป่าไหลหลาก จะช่วยลดความรุนแรง
ของกระแสน้ำและดินที่อาจถล่มลงมาได้· ปลูกพืชคลุมดิน หรือหญ้าแฝกบริเวณที่ลาดเชิงเขา เพื่อให้รากหญ้าแฝกช่วยยึดเกาะหน้าดินทำให้ดินไม่เลื่อนหรือไหลลงมา
การเตรียมพร้อมรับมือดินถล่ม
การเตรียมพร้อมรับมือดินถล่ม
· สำรวจสภาพความเสี่ยงภัย
หากมีความเสียงต่อการเกิดดินถล่ม เคยเกิดน้ำป่าไหลหลากหรือน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง
ให้เตรียมพร้อมรับมือและหมั่นสังเกตสัญญาณผิดปกติทางธรรมชาติ
· จัดเวรยามเฝ้าระวังสถานการณ์ ติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศประกาศเตือนภัย
ตรวจวัดปริมาณน้ำฝน
และสังเกตความผิดปกติทางธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของสิ่งก่อสร้าง
ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนในช่วงก่อนการเกิดดินถล่ม
จะได้แจ้งเตือนคนในชุมชนอพยพหนีภัยทันท่วงที
· เข้าร่วมการฝึกซ้อมอพยพหนีภัย พร้อมศึกษาเส้นทางหนีภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัย
ซึ่งอยู่ห่างจากแนวการไหลของดินหากเกิดดินถล่ม จะได้อพยพหนีอย่างปลอดภัย
การปฏิบัติตนเมื่อเกิดดินถล่ม
· อพยพตามเส้นทางที่ปลอดภัยพ้นจากการไหลของดินถล่มโดยขึ้นที่สูงหรือไปยังสถานที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณพื้นที่ประสพภัยดินถล่มอย่างน้อย
2-5
กิโลเมตร
· อยู่ห่างจากลำน้ำให้มากที่สุดเนื่องจากย้ำจะพัดพาดิน
หิน และพาลำน้ำก่อให้เกิดอันตรายได้
· หลีกเลี่ยงเส้นทางที่เป็นแนวทางการไหลของดินหรือมีกระแสน้ำไหลเชี่ยว
หากจำเป็นให้ใช้เชือกผูกลำตัว
พร้อมยึดไว้กับต้นไม้หรือสิ่งปลูกสร้างที่มันคงแข็งแรง เพื่อป้องกันกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดจมน้ำ
· กรณีพลัดตกน้ำ
ให้หาต้นไม้ยึดเกาะและปีนให้พ้นต้นไม้
โดยเด็ดขาดเพราะอาจกระแทกกับซากต้นไม้หรือหินที่ไหลมาตามน้ำทำให้จมนั้นเสียชีวิต
การปฏิบัติตนหลังการเกิดดินถล่ม
· ห้ามเข้าใกล้และกลับไปในบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากดินถล่มลงมาซ้ำ
ก่อให้เกิดอันตรายได้
สัญญาณการเตือนการเกิดดินถล่ม
ในช่วงก่อนการเกิดดินถล่มมันมีสัญญาณความผิดปกติทางธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งก่อสร้าง
ดังนี้
สัญญาณความผิดปกติทางธรรมชาติ
· เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานบนภูเขาสูง(มากกว่า
100
มิลลิเมตรต่อวัน หรือมากกว่า 6 ชั่วโมง)
· มีน้ำซึมไหลรั่วหรือน้ำพุ่งขึ้นมากจากใต้ดิน
· ระดับน้ำในแม่น้ำและลำห้วยเพิ่มสูงระดับน้ำในแม่น้ำและลำห้วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
· ดินอยู่ในสภาพอิ่มน้ำหรือชุ่มน้ำมากกว่าปกติ
· น้ำมีสีขุ่นมากกว่าปกติหรือเปลี่ยนสีเป็นสีเดียวกับสีดินภูเขา
· มีกิ่งไม้หรือท่อนไม้ไหลบนมากับกระแสน้ำ
· เกิดช่องทางแยกน้ำขึ้นมาใหม่หรือหายไปจากเดิมอย่างรวดเร็ว
· มีเสียงดังผิดปกติมาจากภูเขาหรือลำห้วย
อาทิ เสียงหักของต้นไม้ เสียงแตกของหิน เสียงการไหลของโคลน
· สัตว์ป่ามีพฤติกรรมแตกตื่น หรือ ตกใจ
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งก่อสร้าง
· ดินบริเวณฐานรากของตึกหรือสิ่งก่อสร้างเกิดการเคลื่อนตัวกะทันหัน
· เกิดรอยแตกร้าวบนโครงสร้างต่างๆเช่น
กำแพง ผนังอาคาร เป็นตัน
· ผืนดินหรือถนนยุบตัว หรือ
เกิดรอยแตกอย่างรวดเร็ว
· ต้นไม้ เสาไฟ รั้ว หรือ กำแพงเคลื่อนตัว
ในลักษณะดันตัวขึ้น เอียงตัวหรือล้มลง
· ท่อน้ำใต้ดินแตกหรือหักอย่างฉับพลัน
· รอยแยกระหว่างวงกบกับประตู
หรือวงกบกับหน้าต่างขยายตัวกว้างขึ้น
หากอาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและสังเกตพบสัญญาณความผิดปกติทางธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งก่อสร้าง ให้ประสานแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบหาสาเหตุ หากมีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มจะได้เตรียมพร้อมรับมือและอพยพหนีภัยได้ทันท่วงที
หากอาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มและสังเกตพบสัญญาณความผิดปกติทางธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งก่อสร้าง ให้ประสานแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตรวจสอบหาสาเหตุ หากมีความเสี่ยงต่อการเกิดดินถล่มจะได้เตรียมพร้อมรับมือและอพยพหนีภัยได้ทันท่วงที
ลักษณะของพื้นที่ที่เกิดดินถล่ม
พื้นที่เสี่ยงดินถล่ม
ได้แก่
พื้นที่หรือบริเวณที่อาจมีการเคลื่อนไหวของตะกอนมวลดินและหินที่อยู่บนภูเขาสูงสู่ที่ต่ำในลำห้วยหรือทางน้ำไหลผ่าน
ขณะที่เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่เสี่ยงดินถล่มมีลักษณะ ดังนี้
· บริเวณที่ลาดเชิงเขาสูงหรือหน้าผาหินที่ผุพังง่ายและมีชั้นดินหนาจากการผุกกร่อนของหิน
· บริเวณที่เป็นทางลาดชันหรือที่ลาดเชิงภูเขา
ซึ่งมีการก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าว เช่น การสร้างถนน การทำเหมืองแร่ เป็นต้น
· บริเวณที่ดินลาดชันมากและมีหินก้อนใหญ่ฝังอยู่ใต้ดิน
โดยเฉพาะบริเวณใกล้ทางน้ำไหลผ่าน
· พื้นที่ภูเขาที่มีการตัดไม้ทำลายป่าและไม่มีพืชปกคลุมผิวดิน
ทำให้ชั้นดินขาดรากไม้ยึดเหนี่ยว
· บริเวณที่เคยเกิดดินถล่ม มีร่องรอยดินไหล
หรือดินเลื่อนบนภูเขา โดยมีสาเหตุจากการก่อสร้าง
· บริเวณพื้นที่ลาดต่ำ
แต่มีชั้นดินหนาและอิ่มตัวด้วยน้ำมาก
ได้แก่
หมู่บ้านหรือชุมชนที่บริเวณลำห้วย ที่ลาดเชิงเขา ที่ลุ่มใกล้ภูเขาสูง
ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการเลื่อนไหลของมวลดินและหินและปริมาณมากที่มา
พร้อมกับน้ำตามลำห้วย โดยที่ตั้งของหมู่บ้านเสี่ยงดินถล่มลักษณะ ดังนี้
· อยู่ติดภูเขาและใกล้ลำห้วย
· มีร่องรอยเดินไหลหรือเลื่อนบนภูเขา
· อยู่บนเนินหน้าหุบเขาและเคยเกิดดินถล่ม
· เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันบ่อยครั้ง
· มีกองหิน เนินทรายปนโคลน
และต้นไม้ในลำห้วย
· ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีโอกาสการเกิดดินถล่มในช่วง เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน
สาเหตุการเกิดดินถล่ม
ปัจจัยทางธรรมชาติ
· เกิดฝนตกหนักเป็นเวลานานบนที่ลาดเชิงเขาหรือภูเขาสูง
ซึ่งดินถล่มที่เกิดขึ้นในประเทศไทยส่วนใหญ่มีสาเหตุจากฝนตกหนัก
ทำให้ดินไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ ตึงเลื่อนไหลและถล่มลงมาได้
· การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำอย่างรวดเร็ว
จากกรนะแสน้ำขึ้น-น้ำลง การลดระดับของน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำ
· การกัดเซาะของดิน จากกระแสน้ำในแม่น้ำ คลื่นซัดฝั่ง
การผุพังของมวลดินและหิน ทำให้ความหนาแน่นของมวลดินลดลง
· การเกิดภัยธรรมชาติอื่นๆ ในลักษณะรุนแรง
อาทิ แผ่นดินไหว คลื่นซัดฝั่ง ภูเขาไฟระเบิด อุทกภัย ทำให้ความหนาแน่นของมวลดินลดลง
เกิดการชะล้างและพังทลายของมวลดินและหิน
การกระทำของมนุษย์
· การตัดไม้ทำลายป่า การกำจัดพืชที่ปรกคลุมดิน ทำให้ไม่มีรากไม้ยึดเกาะหน้าดิน ส่งผลให้ดินชุ่มน้ำ จนไม่สามารถรับน้ำหนักไว้ได้ จึงเลื่อนไหลและถล่มลงมา
· การก่อสร้างในบริเวณเชิงเขาที่ลาดชัน อาทิ การสร้างถนน การสูบน้ำใต้ดิน การทำเหมืองแร่ การระเบิดหิน การสร้างอ่างเก็บน้ำ ทำให้ดินมีความลาดชันเพิ่มขึ้น
· การทำเกษตรในพื้นที่ลาดชัน ทำให้ต้องกำจัดวัชพืชที่ปกคลุมดินหรือปรับพื้นที่ให้มีลักษณะเป็นขั้นบันไดส่งผลให้ดินขาดความสมดุล
· กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลให้บริเวณดังกล่าวมีความลาดชันเพิ่มขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการไหลของน้ำผิวดินและน้ำบาดาล เมื่อฝนตก น้ำจึงไหลผ่านหน้าดินอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังทำให้ระดับน้ำบาดาลเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มวลดินมีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดดินถล่ม เมื่อมีฝนตกหนักบริเวณพื้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง
การแบ่งชนิดของดินถล่ม
การจำแนกประเภทของการพิบัติของลาดดินที่นิยมคือการจำแนกตามลักษณะการพิบัติของลาดดิน วิธีนี้เสนอโดย Varnes ชนิดของการถล่มที่นิยมแบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่
· การร่วงหล่น (Falls) เป็นการพิบัติในลักษณะที่ชิ้นส่วนของมวลดินหรือหิน แตกออกจากชิ้นส่วนหลักแล้วร่วงหล่นอย่างอิสระ หรือกลิ้งลงมาตามแนวลาดที่มีความชันสูง มีอัตราการเคลื่อนตัวมากกว่า 1 เมตรต่อวินาที
· แบบกลิ้งไปข้างหน้า (topples) หรือการล้มคะมำ เป็นการพิบัติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของของมวลวัสดุ เช่นหินหรือดิน ที่เกิดการเอียงตัว โดยที่มวลวัสดุนั้นยังไม่เกิดการพังทลายก่อนการล้มคะมำ เมื่อมวลวัสดุล้มคะมำแล้วจะหมุนตัวลงสู่ลาดอย่างรวดเร็ว กรณีนี้จะเกิดเมื่อวัสดุที่มีความแข็งแรงวางตัวอยู่เหนือวัสดุที่แข็งแรงน้อยกว่า
· แบบเลื่อนไถล (Slides) เป็นการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหินผ่านแนวระนาบที่มีความแข็งแรงน้อยที่สุด โดยอัตราการเคลื่อนตัวอยู่ในช่วง 0.06 เมตรต่อนาที ถึง 0.3 เมตรต่อนาที โดยแบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้
o แบบ Rotational Slides แนวการพิบัติจะมีลักษณะเป็นส่วนโค้งของวงกลม
o แบบ Translation Slides แนวการพิบัติไม่เป็นส่วนโค้งของวงกลม แต่จะมีแนวของการพิบัติเกือบอยู่ในระนาบ โดยทั่วไปทิศทางของการเคลื่อนตัวจะถูกจำกัดไปตามระนาบของผิวดินอ่อน
· แบบเคลื่อนตัวขยายไปด้านข้าง (Lateral spreads) มีลักษณะการเคลื่อนตัวเป็นการขยายตัวไปด้านข้างของมวลวัสดุ การเคลื่อนที่แบบนี้มักพบในดินประเภท Sensitive Silt and Clay
· แบบไหล (Flows) มักพบในวัสดุที่ไม่มีการยุบอัดแน่น เช่น ก้อนหิน กรวด ทราย และเม็ดดิน โดยจะไหลลงตามแนวลาดเอียงของเชิงเขาเป็นผิวขนานกับผิวหน้าของลาดที่มีความชันสูง โดยมีอัตราการเคลื่อนตัว 0.3 เมตรต่อนาทีถึงมากกว่า 3 เมตรต่อนาที
· แบบผสม (Complex ) มีลักษณะการเคลื่อนตัวที่ประกอบด้วยหลายรูปแบบรวมกันเช่น การเคลื่อนพังที่ประกอบด้วย Rock Slide, Rock fall, earth flow เป็นต้น
การจำแนกประเภทของการพิบัติของลาดดินที่นิยมคือการจำแนกตามลักษณะการพิบัติของลาดดิน วิธีนี้เสนอโดย Varnes ชนิดของการถล่มที่นิยมแบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่
· การร่วงหล่น (Falls) เป็นการพิบัติในลักษณะที่ชิ้นส่วนของมวลดินหรือหิน แตกออกจากชิ้นส่วนหลักแล้วร่วงหล่นอย่างอิสระ หรือกลิ้งลงมาตามแนวลาดที่มีความชันสูง มีอัตราการเคลื่อนตัวมากกว่า 1 เมตรต่อวินาที
· แบบกลิ้งไปข้างหน้า (topples) หรือการล้มคะมำ เป็นการพิบัติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าของของมวลวัสดุ เช่นหินหรือดิน ที่เกิดการเอียงตัว โดยที่มวลวัสดุนั้นยังไม่เกิดการพังทลายก่อนการล้มคะมำ เมื่อมวลวัสดุล้มคะมำแล้วจะหมุนตัวลงสู่ลาดอย่างรวดเร็ว กรณีนี้จะเกิดเมื่อวัสดุที่มีความแข็งแรงวางตัวอยู่เหนือวัสดุที่แข็งแรงน้อยกว่า
· แบบเลื่อนไถล (Slides) เป็นการเคลื่อนตัวของมวลดินหรือหินผ่านแนวระนาบที่มีความแข็งแรงน้อยที่สุด โดยอัตราการเคลื่อนตัวอยู่ในช่วง 0.06 เมตรต่อนาที ถึง 0.3 เมตรต่อนาที โดยแบ่งเป็น 2 แบบ ดังนี้
o แบบ Rotational Slides แนวการพิบัติจะมีลักษณะเป็นส่วนโค้งของวงกลม
o แบบ Translation Slides แนวการพิบัติไม่เป็นส่วนโค้งของวงกลม แต่จะมีแนวของการพิบัติเกือบอยู่ในระนาบ โดยทั่วไปทิศทางของการเคลื่อนตัวจะถูกจำกัดไปตามระนาบของผิวดินอ่อน
· แบบเคลื่อนตัวขยายไปด้านข้าง (Lateral spreads) มีลักษณะการเคลื่อนตัวเป็นการขยายตัวไปด้านข้างของมวลวัสดุ การเคลื่อนที่แบบนี้มักพบในดินประเภท Sensitive Silt and Clay
· แบบไหล (Flows) มักพบในวัสดุที่ไม่มีการยุบอัดแน่น เช่น ก้อนหิน กรวด ทราย และเม็ดดิน โดยจะไหลลงตามแนวลาดเอียงของเชิงเขาเป็นผิวขนานกับผิวหน้าของลาดที่มีความชันสูง โดยมีอัตราการเคลื่อนตัว 0.3 เมตรต่อนาทีถึงมากกว่า 3 เมตรต่อนาที
· แบบผสม (Complex ) มีลักษณะการเคลื่อนตัวที่ประกอบด้วยหลายรูปแบบรวมกันเช่น การเคลื่อนพังที่ประกอบด้วย Rock Slide, Rock fall, earth flow เป็นต้น
รูปแบบการพิบัติแสดงดังรูป
ดินถล่ม คืออะไร ?
ดินถล่ม (Landslide or Mass Movement)
เป็นภัยที่เกิดจาการเคลื่อนตัวของดินหรือหินลงมาตามที่ลาดเชิงเขา ซึ่งมักมีน้ำเป็นปัจจัยเสริมให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดพร้อมกับหรือหลังจากน้ำป่าไหลหลาก ในขณะหรือภายหลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินชุ่มน้ำจนน้ำหนักของมวลดินเพิ่มขึ้นและแรงยึดเกาะระหว่างมวลลดลง จึงลื่นไหลลงมายังพื้นด้านล่างซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือฉับพลัน ก่อให้เกิดความเสียหานต่อชีวิตและทรัพย์สิน
เป็นภัยที่เกิดจาการเคลื่อนตัวของดินหรือหินลงมาตามที่ลาดเชิงเขา ซึ่งมักมีน้ำเป็นปัจจัยเสริมให้สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดพร้อมกับหรือหลังจากน้ำป่าไหลหลาก ในขณะหรือภายหลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ทำให้ดินชุ่มน้ำจนน้ำหนักของมวลดินเพิ่มขึ้นและแรงยึดเกาะระหว่างมวลลดลง จึงลื่นไหลลงมายังพื้นด้านล่างซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างช้าๆ หรือฉับพลัน ก่อให้เกิดความเสียหานต่อชีวิตและทรัพย์สิน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)